ถ้าเรา เป็น มะเร็ง ตับ เราต้องเผชิญกับอะไรบ้าง มะเร็งตับเรื่องที่เรามักคิดว่าไกลตัว เราคงไม่เป็นหรอก สุขภาพแข็งแรงดี คนที่ เป็นมะเร็งตับ หลายคนก็เคยคิดแบบนี้ แต่สุดท้ายก็สู้การประท้วงของร่างกายที่โดนพฤติกรรมการใช้ชีวิตทำร้ายไม่ไหว ความน่ากลัวของมะเร็งตับอาจพรากชีวิตของเราไปได้ แต่ความโหดร้ายของมะเร็งตับ คือความทรมานที่เราต้องเผชิญทั้งกาย ใจ ในการต่อสู้กับโรคร้ายนี้ ทั้งเพื่อเอาชีวิตรอดและรอดเพื่อดูแลชีวิตของคนที่เรารัก
เราเสี่ยง มะเร็ง ตับ มากแค่ไหน
พฤติกรรมที่ทำให้เราเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ
– ทานอาหารปริมาณมากโดยเฉพาะที่มีไขมันสูง เช่น ปิ้งย่าง บุฟเฟต์
– ดื่มแอลกอฮอล์ จากงานวิจัย ผู้ที่ดื่มเหล้า 5 แก้วต่อวัน ปริมาณเหล้า 2 ฝา ต่อแก้ว มีสิทธิ์เป็นตับแข็งได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 20%
– นอนหลับไม่เต็มที่หรือนอนเยอะแต่หลับไม่สนิท
– เครียดจากการใช้ชีวิต จากการทำงาน
อาการหรือภาวะที่เป็นสัญญาณเตือนมะเร็งตับ
– อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ไม่ค่อยมีแรง
– นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท
– ปวดท้องด้านขวา โดยเฉพาะช่วงบน
– ท้องอืดหรือรู้สึกไม่สบายท้อง
– มีภาวะไขมันพอกตับ ไวรัสตับอักเสบ
ซึ่งถ้าเราเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่ง นั่นอาจหมายถึง ความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้ และเมื่อมีสัญญาณเตือน ทางที่ดีที่สุด คือ เข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์ ซึ่งค่าใช้จ่ายจะเริ่มต้นจากจุดนี้
การพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับ
การตรวจอัลตร้าซาวด์ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด สามารถมองเห็นก้อนหรือความผิดปกติที่ตับได้ หากตรวจพบ อาจต้องตรวจเรื่องอื่นๆเพิ่มเติมตามการวินิจฉัยของแพทย์ เบื้องต้นในส่วนค่าใช้จ่ายของการตรวจแบบนี้ จะเป็นการตรวจท้องส่วนบน เพื่อดูว่าตับมีความผิดปกติหรือไม่ โดยในโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 – 3,000 บาท ส่วนโรงพยาบาลรัฐจะถูกกว่าเอกชนไม่มากนัก
การตรวจสารบ่งชี้โรคมะเร็งตับ ได้แก่ เลือด สารคัดหลั่ง เนื้อเยื่อต่างๆโดยมักจะใช้การตรวจเลือดเพื่อดูค่า AFP (Alpha – Fetoprotein) หากมีค่า AFP สูงอาจบ่งบอกได้เบื้องต้นว่ามีเซลล์มะเร็งตับ และแพทย์มักให้ตรวจวินิจฉัยอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ซึ่งค่าใช้จ่ายของการตรวจค่า AEP นี้ โรงพยาบาลเอกชนจะอยู่ที่ 1,500 – 2,500 บาท ส่วนใหญ่จะถูกบรรจุเข้าไปอยู่ในแพคเกจรวมของการตรวจสุขภาพ ส่วนโรงพยาบาลรัฐ ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 200 – 500 บาท
การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT Scan โดยต้องอาศัยการฉีดสารทึบรังสีเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจน วินิจฉัยได้ถูกต้อง แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตและไม่ควรตรวจบ่อย และต้องเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น เบื้องต้นในส่วนค่าใช้จ่ายของการตรวจด้วยวิธี CT Scan สำหรับโรงพยาบาลเอกชน อยู่ที่ประมาณ 10,000-12,000 บาท และ โรงพยาบาลรัฐ อยู่ที่ 3,500-10,000 บาท
การตรวจMRI (Magnetic Resonance Imaging) เป็นการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำให้เห็นความผิดปกติของตับอย่างชัดเจน ทำให้ทราบผลการตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับที่แน่นอน ข้อดีคือไม่มีสารตกค้างในร่างกาย แต่ไม่สามารถตรวจในผู้ป่วยที่มีการฝังโลหะภายในร่างกาย เบื้องต้นในส่วนค่าใช้จ่าย โรงพยาบาลเอกชนจะอยู่ที่ประมาณ 8,000 – 12,000 บาท ซึ่งโรงพยาบาลรัฐสำหรับคนที่มีสิทธิ์บัตรทอง และแพทย์ประเมินแล้วว่าจำเป็นต้องส่งตรวจ MRI Scan ต่อไปเพื่อการวินิจฉัยหรือการรักษา ในส่วนนี้อาจจะไม่มีค่าใช้จ่ายครับ
การตัดชิ้นเนื้อตรวจ โดยแพทย์ใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปที่ตับแล้วทำการตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์ วิธีนี้วินิจฉัยมะเร็งตับได้ค่อนข้างแน่นอน โดยที่โรงพยาบาลเอกชน จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 15,000 บาท
นี่เป็นแค่ขั้นแรกของค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องเสียให้กับการตรวจโรคมะเร็งตับนี้นะครับ อาจจะใช้การตรวจหลายครั้ง หลายขั้นตอนจนกว่าจะพบ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้รวมๆแล้วก็เข้าไปแตะที่หลักหมื่น และยิ่งสุดท้ายแล้วหากพบว่าคุณกำลังเป็นโรคมะเร็งตับ ก็ต้องเตรียมเงินเพื่อใช้จ่ายในขั้นตอนต่อไปก็คือ การเข้ารับการรักษามะเร็งตับ
การรักษามะเร็งตับมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยแพทย์เฉพาะทางจะทำการพิจารณาวิธีที่เหมาะสมที่สุด ได้แก่ การผ่าตัดก้อนมะเร็งตับ, การจี้ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Ablation – RF), การให้เคมีบำบัดผ่านทางหลอดเลือดแดง (Transarterial Chemoembolisation – TACE), การจี้ทำลายก้อนมะเร็งตับด้วยคลื่นไมโครเวฟ (Microwave Ablation), การใช้มีดนาโนรักษามะเร็งตับ โดยจี้ก้อนเนื้องอกเฉพาะจุดด้วยกระแสไฟฟ้าต่างศักย์สูง ซึ่งค่าใช้จ่ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาซึ่งในบางกรณีอย่างเช่น การรักษาด้วยการใช้มีดนาโนรักษามะเร็งตับ มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงเฉลี่ย 1.5-2 แสนบาท ซึ่งการได้รับการักษาด้วยวิธีต่างๆ นั้นผู้ป่วยจะต้องได้รับการพักฟื้นเฝ้าดูอาการในโรงพยาบาล โดยใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคล อาจจะแค่ 3-4 วันก็สามารถกลับบ้านได้ หรือจะต้องใช้เวลาเป็นหลายสัปดาห์สำหรับการฟื้นตัว
ซึ่งค่าห้องพักนั้นมีหลายระดับ หลายราคา ตั้งแต่ห้องพักแบบธรรมดาไปจนถึงระดับ VIP++ ที่ราคาค่าห้องอยู่ที่ประมาณ 25,000 ต่อคืน รวมไปถึงบริการต่างๆ ค่ายาหลังการรักษา ค่าอาหาร ทั้งหมดนี่ก็คือค่าใช้จ่ายก้อนที่ 2 ที่จำเป็นสำหรับคนเป็นโรคมะเร็งตับครับ ถ้าหากค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเอกชน เราไม่สามารถจ่ายไหว โรงพยาบาลรัฐก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการประหยัดค่าใช้จ่ายได้ แต่อาจจะต้องประสบปัญหาในเรื่องของผู้ใช้บริการแออัด โรงพยาบาลมีเตียงให้ผู้ป่วยในจำนวนจำกัด อาจจะต้องนอนรอกันระเกะระกะตามที่ว่างทางเดิน หรือใช้เตียงชั่วคราวกางนอนรอการรักษา ความสะดวกสบายของการรักษาที่มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเอกชน สำหรับผู้ที่มีปัญหาในเรื่องของค่าใช้จ่าย คงจะหนีความเครียดนี้ไปไม่ได้หากยอมรับความลำบาก ความแออัด และยอมเสียเวลา ในการต่อคิวรอรับการรักษาของโรงพยาบาลรัฐได้ แต่ก็ยังไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายได้ไหว พอมีทางไหน ที่จะช่วยลดและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้น้อยลงไปได้อีก
สิทธิบัตรทองและประกันสังคม สิทธิ สวัสดิการขั้นพื้นฐานของคนไทยและคนทำงานที่จะสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้ครับ โดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพเปิดเเผย ข้อมูลในปี 61 ว่า “สิทธิบัตรทอง” ดูแลผู้ป่วยมะเร็งกว่า 2.34 แสนคน รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด/รังสีรักษากว่า 1.43 ล้านครั้ง โดยในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สิทธิบัตรทอง ครอบคลุมการรักษาโรคมะเร็งทุกประเภท และประกันสังคมคุ้มครองโรคมะเร็ง 10 โรค ที่รวมโรคมะเร็งตับไว้ด้วย เพราะฉะนั้นนี่คืออีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถช่วยคุณได้
มะเร็งตับ โรคที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก เพราะยากต่อการรักษาให้หายขาด ซึ่งถ้าเป็นแล้ว นอกจากจะอันตรายต่อสุขภาพจนถึงชีวิต ค่าใช้จ่ายต่างๆก็สามารถทำให้เราต้องกู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่ายจนสามารถล้มละลายกลายเป็นทำให้ชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรแล้วได้เหมือนกัน แต่คุณมีสิทธิ์เลือกได้ ว่าจะ รอรับการรักษาเมื่อเป็นมะเร็งตับ หรือ ป้องกันตั้งแต่วันนี้
ต้นเหตุของการเป็น มะเร็ง ตับ
ที่พบบ่อยที่สุดมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ถัดมาคือ จากการดื่มแอลกอฮอล์ โรคเบาหวาน โรคอ้วน
วิธีป้องกันก็ต้องป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็งตับ
1. งดการดื่มแอลกอฮอล์ ที่เสี่ยงต่อตับแข็งจนพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับได้
2. เลี่ยงของหมัก ของดอง เพราะสารที่เกิดจากของหมักดองมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งที่ตับได้
3. เลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนสารแอฟลาทอกซิน (Aflatoxin)ก่อมะเร็งตับ ได้แก่ ถั่วลิสง พริกแห้ง พริกป่น ข้าวโพด
4. เลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์ เพราะอาหารไขมันสูงส่งผลให้ตับทำงานหนักในการสร้างน้ำดีมาย่อยอาหาร
5. ทานวิตามินรวมเสริมเพื่อช่วยบำรุงตับ แต่ควรเลือกผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ มีงานวิจัยทางการแพทย์ในคนรับรอง และมีขายตามร้านขายยาชั้นนำทั่วไป
6. อย่าสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งใดๆ ของผู้อื่น หากจำเป็นให้สวมถุงมือ ห้ามใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
7. หากป่วยเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ต้องรับการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่องด้วยวิธีที่เหมาะสม ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับได้
ไม่ยากเลยครับที่จะป้องกัน เวลาของคุณยังมีโอกาสจะทำให้สุขภาพดีห่างไกลจากมะเร็งตับยังทันครับ อีกหนึ่งตัวช่วยในการดูแลสุขภาพตับ นั่นคือสารสกัดธรรมชาติพรูนัส มูเม่ (prunus mume) ที่ได้รับการพิสูจน์และถูกยกย่องให้เป็น SUPERFRUIT ในการบำรุงฟื้นฟูตับ ผลลัพธ์ประสิทธิภาพที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับโลกอย่าง Phytotherapy Research